วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

รู้หรือไม่ เมื่อครบอายุ 32 ปี เราได้เข้าสู่วัยชรา



เมื่อเราได้ก้าวสู่ 32 ปี ขอยินดีต้อนรับเข้าสู่วัยชราค่ะ

เมื่อเข้าสู่วัย 30 หลายคนเริ่มปวดเมื่อยโน่นนี่ เพลียงาน นอนดึกไม่ค่อยได้เมื่อแต่ก่อน ไม่สบาย่ฟื้นตัวช้า ร่างกายเหนื่อยจะถอยลงลูบเหมือนหุ้นตก....ถ้าเกิดความรู้สึกต่อร่างกายตนเองแบบนี้ ไม่ต้องแปลกใจนะคะ มันคือการเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของร่างกายค่ะ...วัยแห่งความเสื่อม

การตายอยู่ในการเกิด...ภายในร่างกายเรามีการตายและการเสื่อมเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

ในคัมภีร์แพทย์แผนโบราณทั้งของไทยจะเรียกวัยสุดท้ายของชีวิตนี้ว่า "ปัจฉิมวัย" (พาลผู้เฒ่า หรือวัยผู้เฒ่า) โดยนับอายุตั้งแต่เข้า 32 ปี บางตำรานับตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป บางตำราก็นับ 33 ปี ไปจวบจนถึงอายุขัยสุดท้ายของเราค่ะ

ในวัยนี้มีธาตุลมหรือวาตะเป็นเจ้าเรือนลมกำเริบ ก็มักจะมีปัญหาเลือดลม ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ลมในท้อง ท้องอืด ไม่สบายตัว ธาตุไฟหย่อนก็จะมีปัญหาเผาผลาญไม่ดี อาหารไม่ค่อยย่อย หลับไม่ปกติ รู้สึกวูบวาบภายในไม่เสถียร

อาหารที่เหมาะสมแก่ช่วงปัจฉิมวัย


การทานอาหารหรือใช้ยารสเผ็ดร้อน หอมเย็น ขม เค็ม ฝาด ถ้าสังเกตให้ดีเมื่ออายุมากขึ้นจะกินของฟาดขม เปรี้ยวได้ดีขึ้น กินแป้งจะอึดอัดอกินของหวานมากๆ ไม่ได้ รู้สึกไม่คือ กินอาหารเย็นแล้วชักจะไม่ย่อย ท้องอืด ต้องมีขมิ้นชันพกไว้หลังอาหารเย็น.... นั่นเป็นสัญญะหนึ่งที่บอกการเข้าสู่ช่วงวัยนี้ค่ะ ว่าร่างกายเรากำลังปรับอาหารการกินเพื่อเหมาะกับธาตุและอายุวัย การฟังเสียงความปรารถนาร่างกายก็จะช่วยให้ผ่านโรคภัยไปได้ค่ะ

อาหารที่เหมาะกับวัยนี้ก็พวกพืชที่ช่วยเรื่องลมค่ะ ขิง ข่า ตะไคร้ กะเพรา มะระ ผัก สนุนไพร ผลไม้รสขม หอมเย็น ฝาดเล็กๆ เช่น กะท้อน รางจืด น้ำใบเตย น้ำลอยดอกมะลิอะไรอย่างนี้ค่ะ ฟังดูแล้วนี่มันชีวิตคนสูงวัยชัดๆ!! อาหารที่ควรเลี่ยงอาหารแป้ง น้ำตาล ผลไม้จำพวกทุเรียน มะม่วงค่ะ ของอร่อยทั้งน้านนน 55


การดูแลและใช้ชีวิตช่วงปัจฉิมวัย


นอกจากเรื่องอาหารที่ต้องดูแลแล้วก็เรื่องการใช้ชีวิตค่ะ ในคัมภีร์กล่าวถึงความประพฤติของมนุษย์ที่จะทำให้โรคบังเกิดขึ้น จัดไว้ 8 ประการ

-อาหาร เช่น บริโภคอาหารมากหรือน้อยกว่าที่เคย กินอาหารไม่ตรงเวลา เป็นต้น

-อิริยาบถ การอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งนานเกินควร ควรผลัดเปลี่ยนเคลื่อนไหวบ้างค่ะ

-สภาพอากาศ ความร้อนความเย็นมากเกินไป ทำให้ธาตุแปรปรวน

-อดนอน ร่างกายควรได้รับการพักผ่อนหลับนอนที่พอเหมาะ ดื่มน้ำที่สะอาดให้เพียงพอ

-กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ เกิดการหมักหมมของอุจจาระและปัสสาวะทำให้เกิดการขยายตัวของเชื้อโรค พิษเหล่านี้จะกลับเข้าสู่กระแสเลือด ไหวสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหลายประการ

-ทำงานเกินกำลัง การหักโหมทำงาน ทำร่างกายอ่อนแอง่ายต่อการเกิดโรค

-ความเศร้าโศกเสียใจ ขาดการออกกำลังกาย ขาดการพักผ่อน และทำร้ายตนเอง

-โทสะ เป็นดั่งไฟเผากายและใจให้เกิดทุกข์สมองถูกทำลาย สติสัมปชัญญะขาดพร่อง ผิวพรรณเหี่ยวย่นอีกด้วยค่ะ

เมื่อก้าวเข้าสู่วัย 30 ร่างกายจะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว แทนที่จะหักโหม หรือบีบคั้นร่างกายให้ใช้งานได้ดั่งเดิม เราควรเปิดใจ ทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้ แล้วกลับมาดูแลร่างกายในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิต เพื่อให้เรารักษาสมดุล ประคับประคองธาตุแห่งความเสื่อมนี้ให้อยู่กับเราและคนที่เรารักได้ยืนยาวนานมากที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้นะคะ .... การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐค่ะ ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะคะ


บทความโดย : Sotogreen
Photo by rawpixel.com from Pexels
ติดต่อทาง Facebook Page ได้ที่
Mindful Massage For Deep Relaxation

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562

ส้นเท้าตึง...คลายอย่างไรได้ผลระยะยาว



หลายคนมักเข้าใจว่าเมื่อปวดตึงส้นเท้า หรือหลังส้นเท้าก็จะกดคลายอาการอยู่ที่บริเวณนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการตึง​หลัง​ส้นเท้า​ หรื​อที่ส้นเท้าตึง​จนเจ็บบที่เกิดมาจากการยืน วิ่งเดิน หรือขับรถนานกว่าปกตินั้นเกิดมาจากการที่กล​้ามเนื้อ​และ​เส้นบร​ิเวณขาด้านหลังตึงเกิดการตึง (ในบางคนมีอาการปวดหลังร่วมด้วย)ซึ่งหากไม่ได้รับการคลายจะสะสมจนมีโอกาสได้รับบาดเจ็บเรื้อรังหรือเกิดการฉีกขาดได้




ในส่วนของเส้นที่จะคลายนั้นคือเอ็นที่เชื่อมมาจากตัวกล้ามเนื้อขาด้านหลัง (Achilles Tendon) เอ็นบริเวณส้นเท้านี้ค่อนข้างมีความแข็งแรง ใหญ่หนาและเหนียวซึ่งทอดยาวลงมาต่อจากกล้ามเนื้อน่องมัดใหญ่ที่อยู่บริเวณขาด้านหลัง (Gastrocnemius Muscle) อันเป็นเอ็นและกล้ามเนื้อที่ช่วยในการกระดกข้อเท้า .....ด้วยเหนตุนี้เอง การกดเพื่อคลายเส้นที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงให้คลายจึงต้องใช้แรงกดที่มาก...ในการนวดบางคนใช้เข่า บางคนเหยียบ....แต่สิ่งที่หลายคนลืมไปคือ การคลายตัวกล้ามเนื้อบริเวณน่องขาด้านหนังไล่ขึ้นไปจนถึงกล้ามเนื้อด้านหลังของขาท่อนบน (Hamstring Muscle) ให้คลายร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นหลังจากที่ตัวส้นเท้าคลายอาจมีโอกาสสะท้อนปวดบริเวณเข่าและขาด้านหลังได้ หากบริเวณนั้นยังตึงอยู่ แล้วทำให้อาการตึงเจ็บปวดบริเวณส้นเท้ากลับมาอีกในเวลาไม่นาน

วิธีการคลาย

ให้เริ่มจากการคลายเส้นขาตามปกติก่อน จากนั้นจึงเน้นคลายกล้มเนื้อและเส้นบริเวณขาด้านหลัง เมื่อคลายจนนิ่ม ก็ให้กดเน้นบริเวณ Achilles Tendon กดให้รู้สึกวิ่งไปบริเวณหลังส้นเท้า ส้นเท้า และขอบเท้าด้านใน ให้ผู้ถูกนวดเช็กอาการว่าดีขึ้นไหมจากการกระดกปลายเท่าขึ้นลง หากยังตึงอยู่ก็ให้ย้ำและไล่เส้นเอ็นร้อยหวายใหม่ทั้งขาอีกรอบ จนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อร้อนให้พอ แม้จะยังไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ให้พอเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของเส้นและกล้ามเนื้อไม่ให้อักเสบหรือฉีกขาด


ข้อควรระวัง


หากก่อนนวดบริเวณส้นเท้าหรือเส้นหลังเท้ามีอาการบาดเจ็บมา บวม แดง ร้อน ห้ามนวดเด็ดขาด เพราะเส้นอาจจะฉักขาดอยู่ เกิดอาการบาดเจ็บ ควรไปพบแพทย์เพื่อเช็กอาการก่อนนวดค่ะ  ให้นวดเมื่อไม่มีการอักเสบที่เส้น นอกจากนี้ ไม่ควรขยี้เส้นเพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบหรือฉีกขาดได้ค่ะ สำหรับหมอนวดควรสังเกตอาการผู้รับการนวด แล้วลักษณะของเส้น ไม่แนะนำให้อัดหนักเต็มที่ ในบางคนที่เส้นขอบเท้าด้านยังตึงก็ทำให้เกิดตะคริวได้ค่ะ

นอกจากการนวดเพื่อจัดการกับปัญหาปวดตึงส้นเท้าแล้ว การเลือกรองเท้าก็จำเป็นค่ะ ถ้าต้องยืนหรือเดินหรือวิ่งนานๆ  ควรเลือกรองเท้าที่ดีต่อสุขภาพเท้า มี support ช่วยพยังเท้าอย่างดี เหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นแบนเกินไป หรือส้นสูง หรือหัวรองเท้าบีบนิ้วมากไปค่ะ เพราะจะยิ่งทำให้ส้นเท้าเท้ารับน้ำหนักและแรงกระแทกค่อนข้างมาก ที่สำคัญคอบบริหาร ยืดเหยียดเท้าเป็นประจำก่อนนอนก็จะช่วยได้อีกแรงค่ะ 




บทความโดย​ : SotoGreen
ติดต่อบริการหรือสอบถามได้ที่
Line​ ID: angelasotozen
FB Page : Mindful Massage for Deep Relaxation

Credit​ Photo : https://www.verywellhealth.com/achilles-tendonitis-causes-and-treatment-3119332

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2562

เรกิ​ พลัง​ธรรมชาติ​บำบัด​ คืออะไร



Reiki Healing session for engergy balance and self - development

Reiki (เรกิ) พลัง​ธรรมชาติ​บำบัด คืออะไร

เรกิเป็นศาสตร์​การเยียวยารักษาทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ​ค้นพบโดย ดร. มิคาโอะ อูซูอิ เรกิไม่ใช่ลัทธิความเชื่อศาสนา​นะคะ แต่เป็นพลังปราณหรือพลังชีวิตที่รับผ่านจากพลังธรรมชาติ​ พลังความรักและเมตตา​ เป็น​พลัง​ง​านที่เป็น​กลาง​ (Neutral​ Energy​)​ เพื่อช่วยสร้างสมดุลให้แก่ร่างกายเช่นเดียวกับ ไทชิ จี้กง พลังหัตถบำบัดของทิเบต พูดง่ายๆ เหมือนกับการทำสมาธิภาวนา​โดยผ่านมือของอีกคนที่ให้เรกินั่นเองค่ะ

โดยในขณะที่อยู่ในกระบวนการ ผู้​รับเรกิสามารถพูดคุย แบ่งปันความรู้​สึกหรือจะนอนหลับก็ได้ค่ะ ในบางคนสามารถเข้าถึงสภาวะอารมณ์​ ความคิด ความรู้สึก​ความเจ็บปวดที่ฝังเก็บงำอยู่ภายในจากการสั่นสะเทือน​ของพลังงาน​ตามจักระต่างๆ ในร่างกาย จากการรับรู้​นี้จะสามารถ​เป็นกุญแจ​เปิดหัวใจให้กว้างขึ้น รักและเมตตาต่อตนเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น มีความสุขในชีวิตอย่าง​ง่ายงาม

เรกิได้รับการยอมรับในโรงพยาบาลทั่วโลก ทั้งในสหรัฐ​อเมริกา แคนาดา เบลเยี่ยม และสหราชอาณาจักร​ เพื่อใช้ในการเยียวยาอาการเจ็บปวด ความเครียด ความวิตกกังวล​ของผู้ป่วยโดยเฉพาะ​ผู้​ป่วยมะเร็ง

ประโยชน์​ของเรกิ

-เยียวยาจิตใจ​ อารมณ์​ที่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ​
แปรเปลี่ยน​แบบแผนชีวิตที่ปิดกั้นหรือเป็นเชิงลบให้กลายเป็น​เชิงบวก พลังงานมีการไหวเวียนไม่ปิดกั้น

-เยียวยาความวิตกกังวล​ ความเครียด ซึมเศร้า​เสริมสร้างการเคารพนับถือ​และรักตัวเอง รู้จักและยอมรับด้านลบของตัวเอง

-บรรเทาความขุ่นเคือง​ทางอารมณ์​ความรู้สึกช่วยให้อารมณ์​ ร่างกาย​จิตใจเกิดความสมดุล

-กล้าที่จะลงมือทำตามความฝันหรือความปรารถนา​ของ​ตัวเองโดยไม่ขัดแย้งหวาดกลัว

- ช่วยในเรื่องการย่อยและขับถ่ายให้ดีขึ้น ช่วยขับพิษ​ทั้งของอารมณ์​และของร่างกาย​

-เยียวยาโรคมะเร็งจากการสร้างสมดุลให้แก่พลังชีวิต (ควรควบคู่​กับการรักษา​ตามแผนปัจจุบัน​)​

เรกิเป็น​หนึ่ง​ในการรักษา​เยียวยาตัวเอง​ที่ทุกคนเข้าถึง​ได้​ อยู่แล้ว​ในตัวเอง​ แค่เปิดใจค้นพบ​ เรกิเป็นพลัง​ง​านที่เ​ป็นมิตร​ ไม่มีผล​ข้างเคียง​ที่รุนแรง​ อาจมีอาการหิวน้ำหรือขับผิดบ้าง​ แต่โดยรวมจะ​ช่​วยให้เรามอง​เห็นปัญหา​ที่เก็บภายในจิตใจ​ ทำความรู้​จัก​ร่างกาย​ของ​ตัวเอง​ เพื่ออ่อนโยน​ต่อตัว​เอง​ และบ่มเพาะ​รักตนเอง​และ​ผู้อื่น​อย่าง​ไร้เง​ื่อนไข​ หากเราทำได้สุขภายใจที่ดีก็​จะตามมาค่ะ​

สนใจติดต่อาอบถ​ามบริการได้ทาง
Inbox FB Page :  Mindful Massage for Deep Relaxation
Line ID : angelasotozen​

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562

เทคนิคง่ายๆ กดจุด"เหอกู่" อย่างไร​ขับถ่ายคล่อง




จุดเหอกู่ ช่วยปรับสมดุลของระบบการทำงานของลำไส้ใหญ่​ให้ทำงานสมดุลขึ้น ตำแหน่งจะอยู่บริเวณง่ามนิ้วโป้งและนิ้วชี้ทั้งสองข้าง อยู่ตรงจุดสูงสุด​ของกล้ามเนื้อที่นูนขึ้นมาระหว่างนิ้วทั้ง 2 ข้าง สามารถกดได้ทั้งฝั่งซ้ายขวาค่ะ แต่หากรวมกับแผนไทยแนะนำข้างซ้ายซึ่งเป็นข้างเดียวกับลำไส้ใหญ่​ส่วนตรงค่ะ

วิธีการ​กด

จากการทดลองจากประสบการณ์​ในการกดจุดนี้ ถ้ากดค้างไว้ 10-30 วินาทีค้างไว้ รวมเวลา 3-5 นาทีก็ช่วยปรับสมดุลระบบลำไส้และรู้สึกถึงลำไส้ที่กำลังเคลื่อนตัวได้ค่ะ แต่ก็ไม่ถึงกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวจนอยากวิ่งเข้าห้องน้ำในทันทีนะคะ อย่างที่บางคนคิดกัน

อย่างไรก็ตาม​ การกดจุดนี้จะเห็นผลได้ดีในขณะที่กำลังขับถ่ายค่ะ โดยเฉพาะ​คนที่มักท้องผูกแนะนำให้ทำระหว่างขับถ่าย หรือเริ่มปวดท้องตุ่ยๆ ให้กดจุด "เหอกู่" ระหว่างเริ่มทำกิจธุระนะคะ จะช่วยบีบลำไส้ให้ขับถ่ายเคลื่อน​ตัวได้อีกแรง ป้องกันการเกิดริดสีดวงทวารได้ค่ะ.... หรือจะลองงกดจุดนี้ก่อนเข้านอนก็ได้นะคะ ตื่นเช้ามาจะช่วยให้เข้าห้องน้ำได้ดีขึ้น

Caution!! สตรีมีครรภ์​ห้ามกดจุดนี้เด็ดขาดค่ะ เพราะเป็นการกระตุ้น​ครรภ์​อาจแท้งหรือคลอดก่อนกำหนด​ได้ค่ะ

นอกจากนี้ ประ​โยชน์​ของการกดจุดเหอกู่ยังมี.... ช่วยคลายกล้ามเนื้อป้องกันนิ้วล็อค  ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว ปวดฟัน ประจำเดือน​มาไม่เป็นปกติ ไม่สบายตัวได้อีกด้วยค่ะ

เห็นข้อดีมากมายแถมทำง่ายขนาดนี้ ลองทำดูนะคะ ทำได้ทุกวันค่ะ ได้ผลอย่างไร กลับมาแบ่งปัน​กันด้วยนะคะ ^^

บทความโดย : Sotogreen​
ติดต่อเพื่อปรึกษา​การนวดได้ที่
FB Page :  Mindful massage for deep relaxation 


วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

สตรีมีครรภ์นวดต้องระวังตรงไหนไม่เสี่ยง "แท้ง"



เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์มากขึ้น จึงต้องแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เกิดการขยายตัวของเชิงกราน ครรภ์ที่ขยายขึ้นดึงรั้งกล้ามเนื้อบริเวณหลัง รวมไปถึงลักษณะการเดินที่ต้องแอ่นตัวเพื่อถ่วงดุลน้ำหนักก็ทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ตึงเครียดอยู่ตลอดเวลาส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามตัว แขน ขา หลัง นั่นเองค่ะ 

ซึ่งแน่นอนว่าตัวช่วยที่สะดวกและสบายตัวสำหรับคุณแม่มากที่สุดก็คือ "การนวด" แต่การนวดในช่วงต้องครรภ์ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทั้งกับคุณแม่และน้องในครรภ์

โดยมีข้อควรระมัดระวังตามนี้ค่ะ

1.ห้ามนวด ช่วงอายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์

ครรภ์ในช่วง 3-4 เดือนยังอ่อนแอ การนวดอาจส่งผลให้ความดันภายในร่างกายสูงขึ้น เลือดสูบฉีดแรงขึ้น กระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้บีบตัว นอกจากนี้ สถิติคลอดก่อนกำหนด มักอยู่ในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการนวดเพื่อความปลอดภัย

2.ห้ามกดจุดฝ่าเท้า

บริเวณฝ่าเท้ามีเส้นประสาทเชื่อมกับทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงมดลูก การนวด "กดจุด" บริเวณฝ่าเท้านี้อาจส่งผลให้มดลูกบีบตัว มีโอกาสแท้งได้ โดยเฉพาะระยะตั้งครรภ์ช่วง 3 เดือนแรก หลังจากช่วง 3-4 สัปดาห์สามารถลงน้ำมันนวดคลึงฝ่าเท้าเพื่อผ่อนคลายได้

3.ห้ามนอนคว่ำกดช่วงหลังด้านล่าง

ในการนวดสตรีมีครรภ์จะให้นอนตะแคงในการนวดหลัง ยกเว้นในกรณีที่สถานบริการมีเตียงนวดสำหรับสตรีมีครรภ์โดยเฉพาะ ก็สามารถนวดได้ อย่างไรก็ตามให้ระวังการนวดกดบริเวณหลังด้านล่างหรือกระเบนเหน็บ หากกดหนักเกินไป จะส่งผลให้ถึงมดลูก อาจทำให้เกิดการบีบตัว

4.ห้ามดัด ดึงร่างกาย ถีบขาด้านใน

ช่วงตั้งครรภ์เป็นช่วงนี่ร่างกายอาจขาดแคลเซียม กระดูกหลังแอ่นและข้อหลวมกว่าปกติ ทำให้ข้อขยับง่ายขึ้น กระดูกเชิงคลายออกและหลวมเพื่อเตรียมรับการขยายออกของขนาดครรภ์ การดัดจึงเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับข้อกระดูกต่างๆ ส่วนการถีบขาด้านในอาจกระทบกระเทือนต่อมดลูก หรือส่งผลให้มดลูกบีบตัว มีโอกาสแท้งหรือคลอดก่อนกำหนด


5. นวดกดจุดบริเวณบ่า

การนวดกดลงบนบ่าโดยตรงจะสะท้อนหรือแรงดันไปยังบริเวณ​ท้อง ไม่ว่าจะนอนนวดหรือนั่งนวด ให้หลีกเลี่ยงการกดลงบนบ่า โดยให้กดบริเวณหัวสะบักหรือกล้ามเนื้อด้านหน้าบริเวณบ่าแทนค่ะ การกดบ่าในทิศนี้จะวิ่งสะท้อนกลับไปยังสะบักไม่ลงที่ท้อง ซึ่งจะช่วยคลายบ่าได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อครรภ์​ค่ะ


การนวดที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับสตรีมีครรภ์คือการนวดไทย หรือ น้ำมันเพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น  ซึ่งการนวดสำหรับสตรีมีสามารถนวดได้จนถึงช่วงใกล้คลอด หลีกเลี่ยงการกดที่หนักในจุดที่ควรระวังดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว ป้องกันการคลอดก่อนกำหนด

นอกจากนี้ ควรเลือกนวดกับสถานบริการ โรงเรียน สถาบัน หรือ โรงพยาบาล หรือหมอนวดที่มีความรู้ในเรื่องการนวดหญิงตั้งครรภ์เพื่อความปลอดภัยทั้งคุณแม่และเด็กในครรภ์นะคะ


บทความโดย :Sotogreen
Credit Photo : http://www.massagebook.com/massage-therapy/benefits/benefits-of-pregnancy-massage/
ติดต่อรับบริการนวดหรือขอรับคำปรึกษา​ได้ที่
FB Page : Mindful Massage for Deep Relaxation
Line ID: angelasotozen


วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

อาการนิ้วล็อคจัดการได้ง่ายๆ เมื่อเริ่มเป็น



ส่วนตัวเคยมีปัญหา​นิ้วล็อคเวลาตื่นเวลามาตอนเช้าเมื่อสมัยยังทำงานออฟฟิศอยู่ เพราะใช้แขน มือและนิ้วทำงานหนักอยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์​.... โชคดีที่ไหวตัวได้ทันไม่ปล่อยให้อาการลุกลาม พยายามบริหารแขน แช่น้ำอุ่น และนวดแขน ก่อนที่จะเกิดเป็นพังผืดเกาะแน่นจนต้อง​ทำการผ่าตัด

สาเหตุการล็อคเกิดจากเอ็นปลอกหุ้มเอ็นตรงนิ้วอักเสบจนเกิดเป็นพังผืดเกาะตัวหนาขึ้น จนทำให้เอ็นและปลอกหุ้มเอ็นตรงนิ้วไม่สามารถยืดหรืองอได้ตามปกติ.... ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้แขนทำงานจนเส้นแขนตึง หิ้วของหนัก อยู่กับมือถือ คอมพิวเตอร์​ กำมือหยิบจับด้ามของใช้​ต่างๆ เป็นกิจวัตร​เวลานานเป็นต้น


การดูแลรักษา​อย่างที่บอกไปข้างต้นค่ะ... ก่อนที่นิ้วจะล็อคจนไม่สามารถ​คืนรูปได้หลังจากตื่นนอน (เวลาตื่นนอนเส้นในร่างกาย​จนหดลง)​ ให้พยายามบริหารนิ้วมือ นวดเส้นแขนซึ่งจะช่วยคลายได้จนถึงปลายนิ้ว (การนวดแต่มือไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นค่ะ)​ เมื่อนวดจนเส้นคลายนุ่มลงก็ให้บริหารเพิ่ม​หลังจากนั้นเพื่อชะลออาการเส้นตึงแข็งเกร็งที่จะกลับมาค่ะ (สามารถดูเทคนิคการบริหารนิ้วมือได้ตามคลิปต่างๆ จากในยูทูบนะคะ)​

สำหรับคนที่มีอาการนิ้วล็อคเรื้อรังมานาน หากนวดรักษาไม่ดีขึ้น บริหารไม่ช่วย อาจจะต้องผ่าตัดเลาะพังผืด​หรือรับการรักษา​ทางการแพทย์​แผนปัจจุบัน​ตามคำแนะนำ​ของ​คุณหมอค่ะ
ดู​แลร่างกาย​ก่อนร่างกายจะเสื่อมถอยจะดึง​กลับมาไม่ได้นะคะ 

บทความโดย : SotoGreen
Credit photo : www.britolhandsurgery.co.uk

ติดต่อรับบริการนวดหรือปรึกษา​ได้ที่
FB​ Page : mindful Massage for deep relaxation
ID Line : angelasotozen
#MindfulMassageForDeepRelaxation

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562

เรื่องควร​รู้.. ภัยเงียบของรองเท้าส้นสูง​



สำหรับสาวๆ เราจะมั่นมากขึ้นเมื่อมีเรียวขาที่สวยงาม... ซึ่งรองเท้าส้นสูง​คือคำตอบให้สมปรารถนา... แต่รู้หรือไม่ว่า.... เราต้องแลกเรียวขางามๆ นั้นมาด้วยอะไร

📌📌ปวดเมื่อเกร็งหลังเท้า หน้าขา -​--การใส่ส้นสูง​จะมีแรงกดที่บริเวณ​หลังเท้า ทใส่งผลให้เส้นเอ็นหน้าขาและหลัง​เท้าตึง กระดูกและกล้ามเนื้อ​รวมทั้งข้อต่อนิ้วเท้าต้องแบกรับน้ำหนักร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยล้า หน้าขาและหลังเท้าได้ค่ะ ถ้าลดระดับความสูง​ลงมาจาก 3 นิ้วเหลือสัก 2 นิ้วก็จะลดแรงกดน้อยลงมาประมาณ​ 22 เปอร์เซ็นต์​ค่ะ

📌📌ปวดเข่า--- เมื่อรองเท้าส้นสูง​น้ำหนักตัวจะทิ้งลงที่หัวเข่าตามแรงโน้มถ่วงของโลกในทันที และเข่าต้องคอยรักษาการทรงตัวจึงต้องเกร็งเข่า ทำให้ลูกสะบ้าขบกดกัน ตึงเส้นเอ็นเข่ารัดตึง กล้ามเนื้อเข่าด้านบนรับน้ำหนักมาก หากใส่รองเท้าส้นสูง​นานๆ ส่งผลให้มีอาการปวดข้อเข่า ข้อเข่าเสื่อมเร็วก่อนถึงวัยค่ะ

📌📌กล้ามเนื้อนิ้วเท้าอ่อนแรง -​-- รองเท้าส้นสูง​หัวเล็กแหลมจะบีบนิ้วเท้าเข้าหากันดูเรียวสวย แต่นั่นจะส่งผลให้กล้ามเนื้อนิ้วเท้าไม่ได้ขยับ เส้นนิ้วเท้าตึง ไม่มีการสร้างกล้ามเนื้อบริเวณ​นิ้วเท้าให้แข็งแรง ส่งผลให้มีปัญ​หาในการทรงตัวเมื่อถอดรองเท้า และที่สำคัญ​นิ้วเท้าเป็นจุดสะท้อนบริเวณ​ศีรษะ​ หากตึงมาก ๆ จะส่งผลให้ร่างกายรู้สึก​ไม่ผ่อนคลาย ตึงเครียด ปวดศีรษะ​ หน้าผาก โพรงจมูก​ หายใจไม่โล่ง ปวดตา ปวดเอ็นร้อยหวาย ปวดสะโพก รวมทั้งปวดบ่าไหล่และอาจมีปัญหาประจำเดือนได้อีกด้วยค่ะ

📌📌ปวดหลังช่วงล่าง -​ เมื่อใส่รองเท้าส้นสูง​ ร่างกายต้องสร้างสมดุลในการทรงตัว ช่วงขาจะเคลื่อนโน้มไปข้างหน้า ช่องหลังเราจึงต้องแอ่นไปทางด้านหลังเพื่อรักษาสมดุล เมื่อแอ่นหลังเป็นเวลานานก็ทำให้เราปวดหลังได้ค่ะ นอกจากนี้ การใส่รองเท้าส้นสูง​ส่งผลให้เส้นเอ็นร้อยหวายเกร็งตึง (สังเกตได้จากกล้ามเนื้อน่องที่เป็นลูกๆ) เส้นเอ็นร้อยหวายนี้ถ้าตึงมากก็จะตึงร้าวไปถึงหลังช่วงล่างได้ค่ะ


การดูแลรักษาเมื่อต้องใส่รองเท้าส้นสูง




ให้ใส่เมื่อยามจำเป็น แช่เท้าในน้ำอุ่นหลังจากการใส่รองเท้าส้นสูง คอยบริหารยืดเหยียดกระดกปลายเท้าเพื่อยืดเส้นเอ็นร้อยหวาย พอยต์​ปลายเท้าเพื่อยืดเส้นหน้าแข้ง หมุนข้อเท้า และขยับกระดิกนิ้วเท้าเพื่อคลายเส้นเอ็นหลังเท้าค่ะ ถ้ามีเวลาแนะนำให้นวดขาและนวดเท้า ซึ่งจะช่วยคลายกล้ามเนื้อและเส้นบริเวณสะโพกและหลังร่วมด้วยค่ะ

รองเท้าส้นสูง​นั้น ใส่แล้วสวยจริงแต่ก็แฝงภัยร้ายอ... ร่างกายของเราคอยรับใช้เป้าหมายและความฝันของเราในชีวิต อย่าลืมดูแลพวกเขากันนะคะ

บทความโดย : Sotogreen

Massage service contact:
FB Page : mindfulmassagefordeeprelaxation
  Line ID : angelasotozen

Reference: https://www.rd.com/health/wellness/high-heels-pain/

Photo credit​ :
https://graphs.net/troubles-with-high-heels.html
https://www.webmd.com/pain-management/ss/slideshow-worst-shoes-for-your-feet