วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมื่อหันมากินมังสวิรัติ...ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง



     ก่อนอื่นต้องบอกว่า จะก้าวมสู้การละ เว้นเนื้อสัตว์นั้นไม่ง่ายเลย ต้องความความอดทนต่อแรงกิเลสที่ยั่วยุเป็นอย่างมาก และต้องใช้เวลาอยู่หลายปีกว่าจะคงตัว ไม่กระหายอยากกินเนื้อสัตว์ แต่ก็อนุโลมให้ตัวเองกินปลาบ้างเล็กน้อยและยังกินไข่ได้อยู่ เพราะอยู่ในเมือง ไม่ได้ทำกับข้าวกินเองได้ทุกมื้อ อีกทั้งยังมีสังคมอยู่กับคนที่กินเนื้อสัตว์ ก็ยากที่จะเป็นมังสวิรัติหรือเป็นเจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ 

     อย่างไรก็ตาม การได้ก้าวสู่การเป็นมังสวิรัติในปีที่ 4 ก็ทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะดีขึ้นอย่างไร ตัวเองเปลี่ยนสภาพร่างกายและจิตใจไปมากขนาดไหน .... วันนี้จะมาบอกเล่า พร้อมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้เห็นกันค่ะ อับอายมาก เพราะทั้งหน้าในอดีตและปัจจุบันไม่ได้สะสวยอะไรเลย (ฮา) สู้สาว ๆ ที่ขายครีม ขายเครื่องสำอางไม่ได้ แต่มาถึงจุดนี้แล้ว พร้อมพลีชีพค่ะ ^^




เริ่มต้นการก้าวมาเป็นมังสวิรัติ






     จุดประสงค์แรกที่เลิกกินเลย ก็คงเป็นเรื่องไม่อยากกินสัตว์ใหญ่อย่างวัวค่ะ ก็เลิกมาได้ก่อนหน้า หมู ไก่ มาร่วม 10 กว่าปี พอเลิกเนื้อมาได้นานพอควรก็ค่อย ๆ ลด เนื้อหมู แต่เนื้อไก่ยังกินอยู่ชอบมาก ๆ สาเหตุที่ไม่กินเนื้อหมูก็สาเหตุเดียวกับเนื้อวัว แล้วตัวเองเป็นคนท้องผูกทรมานมากแล้วก็กลัวเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนนมวัวก็ไม่ชอบกินตั้งแต่เด็ก เพราะกินแล้วไม่ย่อยปวดท้องทรมาน กินได้ก็นมเปรี้ยว หรือโปรดักนมที่มีการย่อยด้วยจุลินทรีย์มาบ้างแล้ว ทุกวันนี้กินนมถั่วเหลืองแทนค่ะ

     พอปี 2553 ออกจากงานแล้วสนใจเรียนเรกิ สัมผัสบำบัด จำเป็นต้องลดละเนื้อสัตว์มากขึ้น ก็เลิกกินไก่ แต่ก็มีบ้างที่อดรนทนไม่ไหว ก็กินไม่อยากบีบบังคับตัวเองมากเพราะจะเครียด แต่ก็ละได้ทีละนิดจนไม่กินแล้ว อาจมีบ้างทีแบบอยากชิม เห็นน่ากิน ก็ลองกินค่ะ แต่กินแล้วไม่รู้สึกแย่มาก จินตนาการว่าจะอร่อยกับรสชาติจริง มันมากสวนทางกัน ปัจจุบันนี้ มีความตั้งใจที่จะกันมากินมังสวิรัติด้วยเรื่องสุขภาพกายใจและไม่สนับสนุนการฆ่าสัตว์ เพราะสัตว์ทุกตัวก็รักชีวิตของตัวเองเหมือนกับเรา




ก่อนกินมังสวิรัติ








- ท้องผูกทุกวัน ถ่าย 2 - 3 วันครั้ง บางทีไปแปลกที่ก็ 5 - 6 วัน กลิ่นไม่ดีอยากแรงงงงง

- มีกลิ่นตัวเหม็นมาก โรออนเอาไม่อยู่ มันเหมือนเหม็นมาจากข้างในตัว แฟนเพื่อนเคยบอกว่าดูเป็นคนไม่เคยอาบน้ำมาตลอด ตอนนั้นเจ็บช้ำใจมากค่ะ ไม่ขาวแล้วยังดูสกปรก เวลาคุยกับแม่ตอนเช้าแม่จะบอกว่าปากเหม็นมาก ไม่ได้เหม็นขี้ฟัน แต่เหม็นมาจากลมหายใจในร่างกายเรา

- มีสิวขึ้นตลอดเวลา เป็นสิวขึ้นใต้ผิวหนังไม่มีหัว เหมือนมีพวกเชื้อแบคทีเรีย จุลินทรีย์เยอะ แล้วยังเป็นคนชอบแกะสิวก็ยิ่งสกปรกไปใหญ่ หน้ามันเยิ้ม

- อ้วนง่าย เคยอืดขั้นสุดที่น้ำหนัก 50 กิโลกรัมจากปกติจะอยู่ที่ 43 - 45 กิโลกรัม ส่วนสูงก็เท่าเดิมตั้งแต่ประถม 6 ค่ะ คือ 152 เซนติเมตรโดยเฉลี่ย พออายุมากขึ้นก็ชักจะเผาผลาญน้อยลงอีกด้วย ประกอบกับเป็นคนหุ่นทรงตรงพออ้วนก็ไม่อวบมีหน้าอกสะโพก แต่กลับอืดบวมเหมือนอึ่งอ่าง หน้าอกดูเล็กลงเพราะพุงนำนม ปีกไหล่ก็กว้างขยายออก เห็นสภาพตัวเองแล้วไม่อยากอ้วนอีกเลย

- ผมมันมาก สระกลางคืน พอเช้ามาไม่ทันเข้าช่วงกลางวันหัวก็มันแผล็บ เคยมีคนที่แอบปิ๊งมาทักครั้งหนึ่งว่า "เธอ ๆ ไปสระผมมา ผมยังไม่แห้งหรอ" คือ ผมมันเหมือนผมเปียกน้ำตลอดเวลา อายมาก ต้องขอพี่ที่ทำอยู่แผนกเดียวกันไปสระผมร้านข้างล่างตึกทันที

- นอนไม่ค่อยหลับ หัวถึงหมอนนอนพลิกคิดโน่นนี่ เหมือนพลังงานร่างกายยังใช้ไม่หมด พอหลับก็ฝันไม่ค่อยดี หลับไม่สนิท ตื่นระหว่างกลางดึก

- เป็นคนคิดลบมาก กินเนื้อสัตว์ก็จะทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงาน ร่างกายหนัก ไม่สบายตัว ก็พาลไม่สบายใจ หงุดหงิดง่าย คิดลบตลอด จนมีแต่คนเรียกว่า "ผู้หญิงที่อยู่แต่กับความทุกข์ 99.99 เปอร์เซ็นต์" นอยด์เก่ง เวลาโมโหจะควบคุมตัวเองไม่อยู่เหมือนผีบ้าเลยค่ะ พอโตมาอ่านงานวิจัยทั้งเชิงสุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงพบว่า สัตว์ที่ถูกฆ่าตายจะหลั่งสารเคมีหรือฮอร์โมนที่ป็นพิษก่อนตัวเองตายเพราะความหวาดกลัว ส่วนทางจิตวิญญาณ พวกเขาต้องตายเพราะความหวาดกลัว โกรธแค้น เศร้าโศกหากมองเป็นเรื่องของรูปรอยอารมณ์ที่ส่งผลต่อสะสาร เคมี ฮอร์โมนในร่างกาย...ก็ไม่แน่นะคะ มันอาจจะส่งผลต่อเราด้วยก็ได้

- อันนี้ไม่รู้เกี่ยวไหม..ไม่เคยมีแฟนหรือคบใครเลยมากว่า 28 ปี ไม่ดึงดูด ไม่เป็นที่ชื่นชอบ ไม่มีใครสนใจอยากอยู่ใกล้ และตัวเราเองก็ไม่รู้สึกดีต่อตัวเองมาก ๆ  




หลังจากกินมังสวิรัติ







- ถ่ายทุกเช้า ถ่ายคล่อง ที่สำคัญค่อยมีกลิ่นด้วย

- สามารถควบคุมน้ำหนักได้ ไม่เคยเกิน 46 กิโลกรัม แม้มื้อเย็นจะกินโหดขนาดไหน แต่ส่วนใหญ่เป็นผักก็จะเผาผลาญเร็ว เมื่อปีที่แล้วเป็นลมพิษหนักมาก หมอให้งด ไข่ กล้วย ถั่ว เนื้อสัตว์ ขนมปัง ของหมักดอง ของปรุงรส กินได้แค่ผักกับข้าว ช่วงนั้นเป็นมังสริรัติแบบแท้มาก ๆ สลัดยังต้องกินกับน้ำมะนาว ภายใน 2 อาทิตย์ น้ำหนักลดไป 2 กิโลกรัม ลองคิดดูสิคะว่า ถ้าเราลดเนื้อสัตว์มาได้ เราก็จะควบคุมน้ำหนักเราได้ง่ายขึ้นด้วย

- กลิ่นตัวลดลงมาก กลิ่นปากจากลมหายใจไม่มีเลย (ถ้าฟันผุก็อีกเรื่องนะคะ อันนี้คนละส่วนกันนะคะ) เดี๋ยวนี้เวลาอยู่บนรถเมล์ รถตู้ ได้กลิ่นลมหายใจเท่า ๆ เหม็น ๆ บูด ๆ ของคนใกล้ ๆ นี่รู้เลยว่าอนาคตข้างหน้าอันตรายแน่ ๆ ค่ะ เพราะข้างในร่างกายเราส่งสัญญาณมาแล้วว่าจะเน่าแล้วน้าาา 

- หลับสบาย หลับง่าย ไม่ค่อยตื่นระหว่างกลางคืน

- แรงน้อยลง เพลียง่าย แต่ข้อดีคือ กินมื้อใหญ่ได้เลย กินระหว่างมื้อได้ไม่กังวล เพราะเดี๋ยวก็ใช้พลังงานไปหมดล่ะ เติม ๆ ได้อีกสบาย ๆ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องกินแป้งและของหวานนะคะ

- หน้าไม่มันในลักษณะขับของเสียที่เป็นพิษ ไม่ค่อยมีสิวจากไขมันส่วนเกินหรือฮอร์โมนที่เกินมา

- ผมไม่มันเท่าเดิม มันเป็นปกติทั่วไปแต่ก็สระทุกวันนะคะ ยังฝังใจกับเรื่องที่หัวมันเหมือนผมเพิ่งสระใหม่ ๆ

- คิดบวกได้มากขึ้น ตัวเบาสบายขึ้น จิตใจแจ่มใส ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี มีเมตตามากขึ้น ใจเย็นลง และ รักตัวเองมากขึ้น ปัจจุบันนี้ก็ 31 ปีแล้วแต่รู้สึกสุขภาพดีกว่าเมื่อตอน 21 ปีเสียอีก ไม่ต้องชะโลมครีม แต่งหน้า ใช้อาหารนี่ล่ะค่ะช่วยกันดูแล การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ พูดคุยกับเขาก็ช่วยได้อีกแรงค่ะ

- หลังจากกินมังสวิรัติจริงจังมาได้ไม่ถึงปีก็มีหนุ่มมาปิ๊ง คุยกันไปสักพักถึงรู้ว่าเขาเป็นมังสวิรัติมานานมากแล้ว...บางทีก็คิดหรือเราจะค่อย ๆ เดินทางมาเป็นมังสวิรัติเพื่อให้ได้ถึงเวลาที่พบกันเสียที เพราะเมื่อสุขภาพเราดีขึ้น ใจก็ดีขึ้นจากเดิมเยอะ โกรธได้แต่ก็หายเร็ว คิดลบน้อยลงมาก เข้าใจผู้อื่นได้ดีมากขึ้น มีเมตตา และที่สำคัญเรารักตัวเองเป็น




     การกินมังวิรัติมีแต่สิ่งดี ๆ เกินขึ้นในชีวิต ให้กลับไปกินเนื้อสัตว์อีกให้เงินมาล้านหนึ่งก็ไม่กินค่ะ แลกกันไม่ได้ แต่อย่างที่บอกนะคะว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ แม้เป็นจุดที่ยังเป็นมังสวิรัติแบบไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ยังต้องใช้ความพยายามในการต่อสู้กับกิเลสสูงมาก บางทีมองคนในครอบครัว มองเพื่อนนั่งกินไก่บอนชอน กินหมูปิ้ง ก็กัดฟันได้แต่มองตาปริบ ๆ เพราะฉะนั้นนะคะ ถ้าคิดจะหันมากินมังสวิรัติก็อย่ารีบไปหักดิบจะเครียดเสียเปล่า ๆ ค่อย ๆ ลองเริ่มลดละที่ละนิด จากเนื้อ ค่อยมาหมู ไก่ แล้วก็ปลาดูทีละนิด ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์มาก ๆ ก็กินได้ค่ะแต่กินแค่พอให้รู้รสหายอยากเท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าร่างกายเราไม่กินอะไรนาน ๆ พอกินเข้าไปอีกก็จะรับรู้รสชาติว่ามันอร่อยเท่าเดิมแล้ว เราก็จะไม่อยากกินไปเอง




     ....ส่วนเพื่อน ๆ คนไหน ที่กำลังเริ่มกินอาหารมังสวิรัติอยู่ก็ขอให้กินกันต่อไป สนุกกับการครีเอทเมนูเพื่อสุขภาพ เพื่อชีวิตที่เบาสบาย มีจิตเมตตาค่ะ สู้เขานะทาเคชิ!



บทความโดย : Soto Zen Green

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

เพราะเป็นลมพิษทั้งปี ถึงพบน้ำตาลคืออาชญากร





เมื่อปีที่แล้วอยู่ดี ๆ ลมพิษก็ขึ้นพรึ่บ อย่างไร้สาเหตุ ร่างกายแพ้ทุกอย่างแม้ไม่กินอะไร กินแต่น้ำเปล่าลมพิษก็ขึ้น ไปหาหมอ หมอก็บอกให้ลองงดของที่ก่อให้เกิดการแก้ เช่น นม ไข่ เนย ชีส  ถั่วลิสง ของหมักดอง อาหารทะเลของปรุงรส สารแต่งสี แต่กลิ่น รวมไปถึง กล้วย สตรอว์เบอร์รี่ แอปเปิ้ล องุ่น และแป้งขัดสีที่มีโอกาสมีกูลเตน ทุกชนิด...แล้วส่วนตัวไม่ก็กินเนื้อสัตว์ งานยากเลยค่ะ เดินเข้า 7-11 นี่ต้องเดินออกมา เพราะแม้กระทั่งนมถั่วเหลืองก็ยังมีสารแต่งรส แต่กลิ่น กินสลัดยังต้องบีบน้ำมะนาวแทน เพราะน้ำสลัดมีทั้งน้ำสมสายชู และสารแต่งรส แต่งกลิ่น และบางยี่ห้อก็มีแต่งสี


       ....อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการมีร่างกายที่ไวต่อทุกอย่างที่เอาเข้าปาก ก็ทำให้รู้ได้ว่า.....อะไรบ้างที่ร่างกายรับเข้าไปและรีบปฏิเสธในทันที อีกทั้งทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงกะทันหัน....แล้วหนึ่งในนั้น คือ ศัตรูร้ายตัวฉกาจ แต่เป็นสิ่งที่หมอไม่ได้ห้าม นั่นก็คือ... “น้ำตาล” (ในส่วนนี้รวมถึงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรด สามารถแปลงจากแป้งเป็นน้ำตาลได้ด้วยนะคะ)


เรื่องของหวาน...เป็นเรื่องที่แม้แต่คนเป็นโรคยังต้องพ่ายแพ้ อดรนทนไม่ไหว ใจมันเรียกร้องอยากจะกิน...คิดดูสิคะ ว่าถ้าโลกนี้ขาดความหวาน สวรรค์แห่งการกินคงไม่มีอยู่จริง....แต่ความหวานนี่ล่ะค่ะ เร่งพาคนไปสรรค์มานักต่อนักแล้ว.....มาดูกันค่ะว่า เพราะอะไร ทำไม น้ำตาลกลายเป็น อาชญากร เป็น ยมฑูตที่พรากเราจากโลกนี้เร็วก่อนวัยอันควร




เรื่องจริงของน้ำตาลที่เราอาจยังไม่รู้


- น้ำตาลทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง.....ตอนเป็นลมพิษ ถ้ากินช็อกโกแลต หรือ ขนมหวานปุ๊บ ภูมิคุ้มกันจะตกฮวบ ลมพิษก็จะสวนขึ้นมาทันทีเลยค่ะ
- น้ำตาลทำให้สมาธิสั้น กังวล ว้าวุ่น อยู่ไม่นิ่ง
- น้ำตาลเป็นตัวทำลายไต เมื่อกินเข้าไปมาก ๆ ก็ต้องขับส่วนที่เหลือออกมามาก ถ้าขับไม่ออกก็สามารถแปลงเป็นไขมันฟอกตับได้ค่ะ
- น้ำตาลรบกวนการดูดซึมแคลเซียมและแมกนีเซียม
- น้ำตาลจะเร่งเซลล์มะเร็งให้เติบโตเร็วขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
- น้ำตาลจะไปเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือด กรณีอดอาหาร 8 ชั่วโมง
- น้ำตาลก่อให้เกิดภาวนกรดในกระเพาะอาหาร
- น้ำตาลจะเพิ่มสารทุกข์ในเด็ก
- น้ำตาลเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคไขข้ออักเสบ
- น้ำตาลเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง DNA
- น้ำตาลมีผลทำให้เลือดและน้ำตาลเป็นกรด
- น้ำตาลเป็นสาเหตุของผื่นแพ้ในเด็ก
- น้ำตาลลดการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

     นี่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้นนะคะ ยังมีอีกข้อเสียที่เพื่อน ๆ เองก็อาจรู้ เช่นฟันผุ โรคอ้วน เพิ่มความดัน
โลหิต เป็นต้นค่ะ ทีนี้หลายคนก็คงนึกสงสัยว่า ถ้าน้ำตาลไม่ดีทำไมแล้วจะผลิตมาใส่ในอาหารทำไม สู้ไม่กินเลยเสียดีกว่าใช่ไหมล่ะค่ะ....แต่อะไรก็ตามที่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป ก็ไม่ดีทั้งนั้นค่ะ



ข้อดีของน้ำตาลและปริมาณที่ควรรับต่อวัน







       เพราะในความจริงน้ำตาลก็มีประโยชน์ในตัวของมันเอง ถ้าได้รับอย่างพอเพียง เพราะน้ำตาลจะช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเคมีในสมองทำให้สดชื่นอารมณ์ดีขึ้น กระชุ่มกระชวย ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื้อเยื่อ เซลล์และ สมอง  อีกทั้งยังช่วยในการทำงานของหัวใจและตับ ซึ่งปริมาณที่ควรรับน้ำตาลต่อวันนั้น ผู้ชายควรได้รับประมาณ 9 ช้อนชาหรือ 37 กรัมต่อวัน ส่วนผู้หญิงควรได้รับไม่เกิน 6 ช้อนชาหรือ 25 กรัมต่อวันค่ะ ส่วนเด็ก ๆ ก็ควรรับลดน้ำลงไป หรือ ถ้าจะรับน้ำตาลก็ควรเป็นน้ำตาลที่มาจากน้ำนม หรือ ผลไม้มากกว่า จากน้ำตาลทรายค่ะ...ค่อนข้างทำได้ยากใช่ไหมล่ะค่ะ แต่ถ้าเราสามารถตรวจสอบปริมาณน้ำตาลขอขนมจากฉลาก หรือ ทำอาหารเอง กำหนดปริมาณน้ำตาลได้ก็จะเป็นเรื่องดี หรือ กินมากน้อยวันเว้นวันเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งการเลือกกินของหวานเล็กน้อยหลังจากกินอาหารมื้อหลักที่มีโปรตีนและไขมันดี เพราะจะช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดได้ค่ะ  

      ในตอนนี้ หลังจากที่ลดของหวานไปได้ (และพยายามอย่างหนักที่จะลดแป้ง) ลมพิษไม่ค่อยกลับมาแล้วล่ะค่ะ กลับมาบ้างเวลากินองหวานเยอะ ๆ หรือ กินพิซซ่าหนักแป้ง กลูเตนเพียบ ซึ่งก็พยายามเพลา ๆ ลงอยู่ค่ะ เคยลดแป้งแล้วน้ำตาล ภายใน  2 สัปดาห์ น้ำหนักลงลงไป 2 กิโลกรัม บางทีถ้าสำรวจการกินก็อาจจะรู้ว่าอะไรทำให้น้ำหนักเราเพิ่มได้นะคะ ขอให้เพื่อน ๆ ทุกคนสุขภาพดีค่ะ



บทความโดย : Soto Zen Green

ข้อมูลอ้างอิง : หนังสือ ธรรมชาติบำบัด โดย หมอเจค็อบ  วาทักกันเชรี
มูลนิธิหมอชาวบ้าน 

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดไม่ลับ หายพิษไข้ได้โดยไม่ต้องพึ่งยา!


 เวลามีไข้สูงสุดแสนทรมาน ทั้งไข้ขึ้นสูง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก บ้างมีหวัดมาป่วน น้ำมูกไหล เจ็บคออีกต่างหาก เวลาไปหาหมอได้ยามา กินแล้วไข้ลดแต่ร่างกายกลับอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง แทบลุกไม่ขึ้น....แล้วถ้าลองไม่กินยาล่ะ จะหายหรือ จะนอนซมจนตาย....

    ธรรมชาติของร่างกายเวลามีไวรัสหรือเชื้อโรค พิษ สิ่งแปลกปลอมต่างๆ  ภูมิคุ้มกันของร่างจะเร่งเครื่องเพิ่มความร้อนในร่างกายเป็นกลไกตามธรรมชาติที่จะจัดการกับไวรัสหรือเชื้อโรค พิษต่างๆ ในร่างกาย และสิ่งแปลกปลอก ทางวิธีของธรรมชาติบำบัดมีแนวคิดที่ว่า การกินยาลดไข้จะทำให้ไข้ลดจริงแต่กลไกของร่างกายก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของมัน พิษที่อยู่ในร่างกายก็ยังคงอยู่ (ซึ่งหากไปหาหมอก็จะได้ยาปฏิชีวนะมากิน ร่วมด้วย) .....แต่ทว่าการยอมปล่อยให้ตัวเองต้องทนกับพิษไข้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องมีวิธีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการกิน การดูแลรักษา รวมทั้งการออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย



    สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงขณะมีไข้ 


    1. งดของหวานจากน้ำตาลโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง อีกทั้งยังเป็นอาหารชั้นดีของเชื้อโรคอีกต่างหาก
    2. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะเมื่อมีไข้ร่างกายกำลังบอกว่าต้องการการพักผ่อนนะจะบอกให้
    3. หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ ไข่ นม แป้ง ที่ต้องใช้พลังงานการการเผาผลาญมากๆ หรือ ย่อยยาก เพราะแทนที่ร่างกายะเอาพลังไปจัดการกับเชื้อโรค ดันต้องเอามาใช้ย่อยอาหารซะนี่
    4. ไม่ควรนอนดึกโดยเด็ดขาดเพราะร่างกายต้องการเวลาที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอ เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย 
    5. แต่ก็หลีกเลี่ยงการเอาแต่นอนซมอยู่กับเตียงเพราะร่างกายจะไม่มีแรง ขี้เกียจมากขึ้นอีกต่างหาก ระวังกายสปอยล์ร่างกายตัวเอง 
    6. สนุนไพรลดไข้ก็ไม่ควรกินนะคะ เพราะเรากำลังให้ร่างกายต่อสู้กับพิษ ถ้าอุณหภูมิร่างกายลดก็ไม่มีอะไรจะต่อสู้กับไวรัสได้



 สิ่งที่ควรทำขณะเยียวยารักษาพิษไข้


    1. บริโภคอาหารให้น้อยลง เน้นทานผักผลไม้ที่สดสะอาด เช่น มะละกอ ผลไม้กลุ่มส้ม น้ำมะนาว กระเทียม น้ำฝรั่ง น้ำเสาวรส และ แตงกวา เป็นต้น (ถ้าเป็นหวัดร่วมด้วย มะละกอ ส้ม เสารส ฝรั่ง มะนาว ช่วยได้เยอะเลย)
    2. จิบน้ำ ดื่มน้ำ เรื่อยๆ เพื่อช่วยลดพิษไข้ และ ปัสสาวะขับพิษออก
    3. ถ้าไข้สูง อย่านอนแอร์ ให้อดทนสักหน่อย ยอมนอนร้อนๆ เพื่อให้เหงื่อออกช่วยขับพิษไข้ ไข้จะได้ลดลง
    4. ลดพิษไข้ด้วยการอาบน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่อุ่น เพื่อให้ร่างกายเร่งสร้างภูมิคุ้มกัน แล้วถ้ารู้สึกปวดหัวด้วยให้เอาน้ำราดหัว เอาปากเปียกวางทับที่หน้า ผาก หรือ คลุมหัว เพื่อช่วยลดอุณหภูมิที่หัวของเราได้
    5. หาตัวช่วยเร่งเอาพิษออก โดยการเดินยืดเส้น ยืดสายช่วงเช้าที่มีแสงอาทิตย์อ่อนๆ หรือ ตอนเย็นช่วงที่แดดไม่แรงสัก 5-6 โมงเย็นกำลังดี แค่เดินแกว่งแขน หายใจเข้าออกลึกๆ ถ้าไทชิได้จะดีมาก หรือโยคะท่าหายใจ ชิวๆ ไม่ใช่สายโหด เพราะร่างกายใช้พละกำลังมากเกินไป เดี๋ยวจะยิ่งอ่อนเพลีย หรือ จะนั่งสมาธิ ลองหายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกติดต่อกันเร็วๆ สัก 40-60 ครั้ง เพราะการหายใจเป็นการขับพิษที่ดี อีกทั้งยังทำให้ปอดมีพลังมากขึ้นอีกด้วย

   
             การดูตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติอาจต้องใช้เวลานานกว่าไข้จะลด แต่ถ้าทำได้การลดปริมาณยาที่กิน ช่วยให้ร่างกายได้รับผลข้างเคียงน้อยลง เพื่อดูแลตับไตของเราให้อยู่กับเราไปนานๆ อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพร่างกาย ระมัดระวังเรื่องการกิน การอยู่ก็เป็นสิ่งจำเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของโรคที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการกิน ถ้าเราปรับพฤติกรรมการกิน โดยหันมาเป็นหมอให้กับตัวเอง กินเพื่อรักษา เยียวยาร่างกายให้อยู่กับเราไปอีกนาน จะได้ทำความฝัน เดินทาง ท่องเที่ยว อยู่กับคนที่รัก ดูแลคนในครอบครัว เพราะชีวิตของเราไม่มีใครดูแลและรับผิดชอบได้นอกจากตัวของเราเอง......การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ....จริงๆ นะ ^^


     บทความโดย : Soto Zen Green
     Reference : หนังสือธรรมชาติบำบัด หมอ เจค็อบ วาทักกันเชรี